ความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิคในวันที่ไทยไม่มีเสน่ห์! โดย สุรชาติ บำรุงสุข

แล้วการจัดการสัมมนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิคก็เริ่มขึ้นในประเทศไทย พร้อมทั้งความฝันอย่างสวยงามของรัฐบาล พล.อำเภอ ประยุทธ์ จันทร์อร่อย สำหรับการเป็นเจ้าภาพ ผู้นำรัฐบาลดูเหมือนมีหวังอย่างยิ่งว่า ความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิคจะก่อให้อดีตกาลหัวหน้ารัฐประหารที่ครอบครองตำแหน่งนายกฯในระบอบ “รัฐบาลทหารแบบลงคะแนน” มีความ “เด่น” ด้านการเมือง หรืออีกอย่างหนึ่งความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิคจะช่วยปฏิบัติภารกิจสำหรับในการโปรโมททางด้านการเมืองเพื่อสร้างสถานะให้แก่ผู้นำรัฐบาลไทยทั้งยังในเวทีด้านในรวมทั้งด้านนอก
ในอีกด้านของการบ้านการเมืองไทย การสัมมนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิคช่วยทำให้บรรดาปีกอนุรักษนิยมรวมทั้งปีกนิยมรัฐประหาร เชื่อถือว่า “ระบอบทหารแบบลงคะแนน” จะยังเป็นพลังขับด้านการเมือง โดยยิ่งไปกว่านั้น ถ้าหากการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในอนาคต พล.อำเภอประยุทธ์ ก็จะยังเป็นตัวเลือกของฝั่งขวาถัดไป
ความมุ่งหวังแบบนี้ตั้งอยู่บนข้อสมมติว่า ความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิคที่กรุงเทพมหานคร จำเป็นจะต้องลงเอยด้วยการบรรลุผลอย่างเป็นจริงเป็นจังกับการจัดการปัญหาการบ้านการเมืองรวมทั้งเศรษฐกิจในเวทีระหว่างชาติ อันจะมีผลให้สถานะของรัฐบาลไทย ซึ่งเป็นเจ้าภาพผู้จัดการสัมมนา ได้รับผลจากผลบุญจากการบรรลุเป้าหมายนี้ ทั้งยัง เมื่อการสัมมนาสิ้นสุดลง ประเทศที่ร่วมจะพูดถึงถึงการสัมมนาที่กรุงเทพมหานคร รวมทั้งสารภาพถึง “หน้าที่แล้วก็วิสัยทัศน์” ของหัวหน้าไทย
แม้กระนั้น “ความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิคในฝัน” กับ “ความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิคในโลกที่ข้อเท็จจริง” บางทีก็อาจจะไม่เหมือนกันอย่างยิ่ง … หากพวกเราตื่นจากความฝันสักนิด พวกเราบางทีก็อาจจะเจอเรื่องจริงว่า “ความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิค 2022” ที่กรุงเทวดาดูเหมือนไม่มีพลังอย่างที่คาด ซึ่งว่าที่จริงแล้ว อาจมีคำชี้แจงที่ไม่สลับซับซ้อน ได้แก่
1.เวทีการสัมมนา จี-20 ที่เกาะบาหลีเป็นเวทีสำคัญ แล้วก็ยอดเยี่ยมในเวทีหลักของการสัมมนาระหว่างชาติในตอนนี้ ซึ่งเห็นได้ชัดจากความพึงพอใจของผู้นำประเทศและก็สื่อสากล การจัดความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิคตามหลัง ก็เลยเหมือนกับการเช็ดกเวทีใหญ่ “บัง” เวทีเล็ก ทั้งยัง ความมุ่งมาดว่า ถ้าหากมาสัมมนาที่เกาะบาหลีแล้ว หัวหน้าในเวทีโลกจะไม่กลับไปอยู่บ้าน แล้วก็เดินทางถัดมาไทย บางทีก็อาจจะไม่เป็นจริงในทางปฎิบัติ
2.หัวหน้าที่สำคัญของโลกได้พบปะสนทนาและก็ได้ได้โอกาสสนทนากันแล้วที่เกาะบาหลี รวมทั้งบางทีอาจจะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมาคุยกันต่อที่จังหวัดกรุงเทพ ได้แก่ การเจอกันระหว่างผู้นำของสหรัฐและก็จีน หรือการถกเถียงการศึกยูเครน ฯลฯ ผลของการคุยที่เกาะบาหลีก็เลย “กลบ” การพูดคุยกันที่คาดหวังจะกำเนิดที่จ.กรุงเทพฯ ไปหมด ซึ่งไม่ใช่การ “แย่งซีน” แม้กระนั้นเป็นการ “บังซีน” ที่จ.กรุงเทพฯ ไปด้วยข้อตกลงของเวทีและก็การเสวนา
3.วันนี้จุดของความน่าดึงดูดใจของเศรษฐกิจภูมิภาค อยู่ที่อินโดนีเซีย (รวมทั้งบางทีอาจรวมทั้งเวียดนาม) มากยิ่งกว่าจะอยู่ที่ไทย ดังจะมองเห็นถึงแนวโน้มการลงทุนที่มุ่งไปจาการ์ตามากยิ่งกว่ามากมายรุงเทวดาฯ ทั้งยังปัญหาเสถียรภาพรวมทั้งความไม่ถูกกันสำหรับในการประเทศไทย เกิดเรื่องที่ทำให้ไทยเป็นประเทศที่ไม่น่าสนใจในทางเศรษฐกิจการบ้านการเมือง
4.รัฐบาลอินโดนีเซียมีหน้าที่และก็กล้าสำหรับในการแสดง “จุดยืน” ที่แจ้งชัดกับปัญหาในเวทีการเมืองระหว่างชาติ ไม่ว่าจะคือปัญหาความร้ายแรงในภรรยานมา หรือการลงเสียงประนามรัสเซียในยูเอ็น ซึ่งรัฐบาลไทย “ไม่กล้า” แสดงทีท่าแบบนี้ รวมทั้งอีกทั้งขาดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ด้านการเมืองและก็การทูตอีกด้วย
5.ทีท่าของไทยในเวทีโลกโดนจับตามองด้วยผลสรุปว่า ไทย “ติดตาม” อยู่กับจีน รวมทั้ง “เกรงอกเกรงใจ” รัสเซีย ดังมองเห็นจากการลงเสียงในเวทียูเอ็นของไทย ผู้แทนไทยออกเสียงแบบเดียวเป็น “งดเว้นออกเสียง” และไม่กล้าที่จะแสดงความเห็นเปลี่ยนไป คำกล่าวแก้ตัวว่ารัฐบาลไทยเป็นกลางไม่เป็นที่ยอมรับในเวทีสากล
6.สถานะด้านการเมืองของเมืองไทยไม่ใส่รับกับกระแสโลก เมืองไทยตอนนี้สำเร็จสร้างจากการสืบสานอำนาจที่มาจากการปฏิวัติ และก็ระบอบการบ้านการเมืองในตอนนี้เองไม่มีดรรชนีที่เป็น “จุดขาย” เพื่อนำเสนอให้กับเวทีโลก พูดอีกนัยหนึ่ง เมืองไทยไม่สนใจในเรื่องระบบประชาธิปไตย นิติเมือง แล้วก็สิทธิมนุษยชน ถ้าเกิดแต่ว่าเป็นเมืองที่ใช้ข้อบังคับแบบครัดเคร่ง กระทั่งมีภาพลักษณ์เป็น “เมืองครึ่งเผด็จการ” ที่ใช้กลไกการเลือกตั้งเป็นอุปกรณ์
7.ผู้นำรัฐบาลไทยไม่เคยแสดง “หน้าที่นำ” ที่แจ่มชัดต่อปัญหาในเวทีระหว่างชาติ ยกตัวอย่างเช่น ปัญหาเกี่ยวกับการฝ่าฝืนสิทธิมนุษยชนในภรรยานมา ฯลฯ แม้ว่าจะบากบั่นสร้างจุดขายในงานด้วย “เศรษฐกิจสีเขียว” หรือข้อแนะนำเรื่อง “BCG” ซึ่งดูเหมือนจะไม่เป็นจริงเท่าไรนัก เนื่องจากหัวหน้าไม่เคย “กล่าวแล้วก็ทำ” ในเรื่องกลุ่มนี้เลย กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดปริศนาเป็นอย่างมากว่า อดีตกาลหัวหน้ารัฐประหารไทยรู้เรื่องเรื่องเศรษฐกิจสีเขียว แล้วก็ความเคลื่อนไหวสภาพการณ์อากาศของโลกเท่าใด เมื่อเขาออกมาเสนอหลักสำคัญแบบนี้เป็นจุดขายของรัฐบาลไทยในความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิค ทั้งยัง ยังกำเนิดเสียงต้านจากภาคประชาชนสังคมในบ้านอย่างยิ่งว่า เศรษฐกิจสีเขียวเอื้อประโยชน์ให้แก่ทุนใหญ่ มิได้ได้ผลทดแทนกับเกษตรกรไทย ความมุ่งหวังที่จะสร้างจุดขายของไทยในเรื่องของเศรษฐกิจสีเขียว แล้วก็ข้อความสำคัญจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพการณ์อากาศ บางทีก็อาจจะมองเกิดเรื่องที่ “ไม่เชิญชวนให้เชื่อ” เท่าไรนัก
8.รัฐบาลไทยมานะสร้าง “ซอฟเพาเวอร์” (soft power) ผ่านของกินและก็วัฒนธรรม แต่ว่าสิ่งพวกนี้ไม่ความหมายในตนเอง แต่ว่าจะสื่อความหมายต่อเมื่อสถานะของประเทศมี “เสนห์” จนถึงกำเนิด “แรงบันดาลใจ” อันจะนำมาซึ่งการก่อให้เกิดความพึงพอใจต่อเมืองไทย ทั้งยัง เรื่องจริงของสังคมการบ้านการเมืองด้านในก็จำต้องรองรับต่อการนำเสนอซอฟเพาเวอร์แบบนั้นด้วย หรือในอีกด้าน สมัยก่อนหัวหน้ารัฐประหารกลุ่มนี้ปราศจากความรู้เรื่องแม้แต่น้อยว่า การไม่มีการยึดอำนาจ การมีระบบประชาธิปไตย แล้วก็มีนิว่ากล่าวเมือง เป็นซอฟเพาเวอร์ที่สำคัญของไทย ของกินเป็นเพียงแค่องค์ประกอบ
9.ความมุ่งมาดที่จะมี “คำประกาศจังหวัดกรุงเทพมหานคร” เป็นสิ่งที่ไม่เป็นจริงเป็นอย่างมาก เพราะเหตุว่ารัฐบาลไทยปัจจุบันนี้ไม่มี “ความคิดริเริ่มด้านการเมือง” ในเวทีสากลเลย แตกต่างจากหน้าที่ของรัฐบาลไทยสำหรับในการสัมมนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิคที่จังหวัดกรุงเทพ ยุคนายกรัฐมนตรี อานนท์ ปันยารชุน ในปี 1992 (พศาสตราจารย์ 2535) และก็ ยุคนายกรัฐมนตรี ขวา คุ้นชินความประพฤติ ในปี 2003 (2546) ที่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์มีต้นเหตุมาจากข้อแนะนำของรัฐบาลไทยอย่างแจ่มแจ้ง จนกระทั่งการสัมมนาทั้งคู่ครั้งทำให้ไทยเป็นจุดสนใจ
10.ความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิคที่กรุงเทพมหานคร กำเนิดในภาวการณ์ที่รัฐบาล “ไม่มีเสน่ห์” ในยุคนายกรัฐมนตรี อานนท์ ไทยมีจุดแข็งของการเป็นผู้แทนของ “คลื่นระบบประชาธิปไตยลูกลำดับที่สาม” ในโลก ภายหลัง “พฤษภาระบบประชาธิปไตย 2535” ในยุคนายกรัฐมนตรี ขวา ไทยกำลังเติบโตรวมทั้งเป็นด้ามจับตามองในภูมิภาค แม้กระนั้นผู้นำรัฐบาลไทยในตอนนี้มีสถานการณ์ “ไม่มีหน้าที่-ไม่มีจุดขาย-ไม่มีวิสัยทัศน์” ที่จะเป็น “เสน่ห์” เชิญชวนให้นานาประเทศหันมาพอใจเมืองไทย แล้วก็อีกทั้งมีภูมิหลังมาจากกระบวนการทำรัฐประหาร ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับในกระแสโลก (นอกจากการยินยอมรับจากจีนและก็รัสเซีย)
วันนี้บางทีก็อาจจะจำเป็นต้องสารภาพเรื่องจริงว่า ความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิคที่จังหวัดกรุงเทพ ดูเหมือน “ไม่หวือหวา” หรือ “ไม่น่ามอง” ยกตัวอย่างเช่นจี-20 ที่เกาะบาหลี เท่าไรนัก ขณะที่เกาะบาหลี พวกเราได้มองเห็นหน้าที่ของหัวหน้าโลกรวมทั้งหัวหน้าอินโดนีเซียในเวทีการสัมมนาระหว่างชาติอย่างแจ่มแจ้ง จนถึงทำให้เวทีที่จังหวัดกรุงเทพ ดูเหมือน “หงอยเหงาๆ” ไปบ้าง นอกจากนั้น ยังตามมาด้วยเสียงเรียกร้องของผู้เห็นต่างในบ้านให้ผู้นำรัฐบาลคืนอำนาจให้สามัญชน รวมทั้งเศรษฐกิจสีเขียวจะต้องไม่ใช่ “เศรษฐกิจของทุนใหญ่”
ถ้าอย่างนั้นแล้ว “ความฝัน” ที่กำลังจะได้ผลตอบแทนทั้งยังทางด้านการเมืองและก็เศรษฐกิจสำหรับประเทศบางครั้งอาจจะไม่มากมายเหมือนอย่างที่คิด รวมทั้งยังบางทีอาจมีผลเป็นอย่างมากต่อ “การบ้านการเมืองไทยข้างหลังความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิค” ด้วยเหตุว่าสังคมบางทีก็อาจจะมิได้อยู่ในฝันแบบ “โลกงาม” ของรัฐบาล นอกนั้น รัฐบาลไทยตั้งแต่ข้างหลังรัฐประหารจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ มิได้ทำให้ไทยมี “เสน่ห์” ที่จะเป็น “แรงดึงดูดใจ” ทางด้านการเมือง ในภาวการณ์แบบนี้ หากแม้ “เมนูอาหารสุดดีเลิศและก็รสอร่อยของปลากุเลา” ก็ไม่บางทีอาจใช้เป็น “ซอฟเพาเวอร์” ได้เลย … ซอฟเพาเวอร์ฐานรากประการแรกเป็นการรังสฤษฏ์ “รายการอาหารการบ้านการเมือง” ที่ไม่ใช้นักรัฐประหารเป็นเชฟแต่งรส!